เทศกาลต่างๆของต่างประเทศ
วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553
เทศกาลวาเลนไทน์
วาเลนไทน์ (Valentine) คือวันที่ระลึกถึง นักบุญเซนต์วาเลนไทน์ (Saint Valentine) ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา ความรัก และความปรารถนาดี ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง แต่สุดท้ายเขาต้องจบชีวิตลงด้วยการรับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หรือเมื่อประมาณ 1,728 ปีล่วงเลยมาแล้ว ซึ่งเป็นยุคสมัยของจักรวรรดิโรมันที่ศาสนาคริสต์ยังไม่เป็นที่ยอมรับ ซํ้าร้ายภายใต้การปกครองของกษัตริย์ "คลอดิอุสที่ 2" ผู้ออกกฎหมายบีบบังคับให้ประชาชนเลิกนับถือ และห้ามให้มีแต่งงานของพวกคริสเตียนเกิดขึ้น แต่ยังคงมีผู้นำคริสเตียนคนหนึ่งชื่อ "วาเลนตินัส" หรือที่ได้รับการยกย่องเป็น เซนต์วาเลนไทน์ ในภายหลัง คอยลักลอบแอบจัดงานแต่งงานให้กับคู่รักคริสเตียนจนถูกจับขังและรับโทษทรมานแสนสาหัสอยู่ในคุก ในขณะที่ถูกคุมขังนั้น เขาก็พบรักกับสาวตาบอด ซึ่งเธอเป็นลูกสาวของผู้คุมในคุก ด้วยความรักและคำอธิษฐานของเขา พระเจ้าได้ทรงโปรดให้ตาของสาวคนรักหายเป็นปกติ เมื่อความนี้ล่วงรู้ถึงหูกษัตริย์คลอดิอุสที่ 2 พระองค์จึงสั่งให้ลงโทษ วาเลนตินัส ด้วยการโบยและนำไปประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ ในคืนสุดท้ายก่อนที่เขาจะถูกนำไปประหารนั้น ได้เขียนจดหมายสั้น ๆ เป็นการอำลาส่งไปให้หญิงคนรักของเขา โดยลงท้ายในจดหมายว่า
"...จากวาเลนไทน์ของเธอ (Love From Your Valentine)"
ต่อมาเมื่อคนทั่วไปทราบเรื่องราวจึงเกิดความประทับใจในความรักของเขา ยึดถือเอาวันที่14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น "วันแห่งความรัก" Saint Valentine's Day หรือ Valentine'sDay และได้นิยมแพร่หลายไปทั่วยุโรป อเมริกา รวมทั้งในทวีปเอเชียด้วย
เทศกาลวาเลนไทน์ เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุด เพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโน่ผู้เป็นจักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจากนี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่งอิสตรีเพศและการแต่งงาน และในวันถัดมา คือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาลเฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม มีขนบธรรมเนียมอย่างหนึ่งของชายหนุ่มก็คือ การจับฉลาก ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ก่อนที่จะเริ่มต้นเทศกาลลูเพอร์คาร์เลีย ชื่อของเด็กสาวจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษและใส่ลงในไห ชายหนุ่มแต่ละคนจะจับฉลากเพื่อเลือกคู่ในเทศกาลเฉลิมฉลองนี้ บ่อยครั้งที่หนุ่มสาวต่างถูกใจกัน และแต่งงานกันในเวลาต่อมา
ในรัชสมัยของจักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 แห่งโรม พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีใจคอดุร้าย และทรงนิยมการทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วมในกองทัพ เนื่องมาจาก ไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโองการสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและแต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง ขณะนั้นเอง พระรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ซึ่งอาศัยอยู่ในโทรม ได้ร่วมมือกับเซนต์มาริอัส จัดพิธีแต่งงานให้กับชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนาดีของท่านนี้เอง จึงทำให้ท่านถูกตัดสินประหารชีวิตโดยเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.270 ซึ่งตรงกับเทศกาลลูเพอร์คาร์เลีย ตามประเพณีโบราณพอดี ณ โอกาสนี้เอง กลุ่มคนนอกศาสนาได้รื้อฟื้นประเพณีจับฉลากขึ้นมาใหม่ โดยชายหนุ่มจะเป็นผู้เขียนชื่อหญิงสาวลงไปด้วยตัวเอง ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรัก และดูเหมือนว่ายังคงเป็นธรรมเนียม ที่ชายหนุ่มจะเลือกหญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
ดอกไม้ ให้ความหมายของการบอกรักได้ดีที่สุด ที่ฮิตสุดเห็นจะเป็น
- กุหลาบแดง หมายถึง ความรักและความปรารถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ เป็นสิ่งนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับ
- กุหลาบขาว หมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ ความเงียบสงบ และนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับเช่นเดียวกับดอกกุหลาบแดง
- กุหลาบสีชมพู หมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์ที่สุด
- กุหลาบสีเหลืองหรือสีส้ม หมายถึง ความรักร้อนแรงและยาวนาน ไม่จืดจาง หวานชื่น และมีความสุข
- กุหลาบตูม หมายถึง ความรักและความเยาว์วัย
- กุหลาบบาน หมายถึง ความรักที่กำลังเบ่งบาน ความอ่อนหวาน สดชื่น
สําหรับคนที่อยากได้อะไรแตกต่างยังมีดอกอื่นๆ อาทิ
- ดอกคาร์เนชั่นสีแดง หมายถึง รักอย่างสุดซึ้ง,
- ดอกลิลลี่สีขาว หมายถึง ความโรแมนติก อ่อนหวานระหว่างคุณและคนรัก,
- ดอกทิวลิปสีแแดง หมายถึง ความรักที่จะร่วมฟันฝ่าไปด้วยกัน
และ
- ดอกไวโอเล็ต ที่แทนความหมายของการให้รักตอบแทน
ช็อกโกแลต นักจิตวิทยาหลายคนเชื่อว่า ช็อกโกแลตเป็นตัวช่วยเสริมอารมณ์รัก และรสชาติความหวานก็เป็นสิ่งที่แทนความรู้สึกวันแห่งความรักได้อย่างดี และยังมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าในช็อกโกแลตมีสารช่วยกระตุ้นสมองโดยออกฤทธิ์คล้าย แอมเฟตามีน เป็นตัวเบิกทางความรู้สึกลึกๆแห่งรักได้ดี
การ์ด อันนี้เป็นของจําเป็นควบคู่ไปกับดอกไม้ และช็อกโกแลต เลือกตามแบบที่ชอบ เขียนความในใจตามแบบที่อยากให้คนที่ได้รับอ่านแล้วเข้าใจในทันที แถมหาซื้อไม่ยากด้วย
ตุ๊กตา เป็นสิ่งที่ให้กันได้ทุกเทศกาลอยู่แล้ว แต่พิเศษสําหรับวันแห่งความรักคงต้องเลือกสรรให้น่ารัก น่าประทับใจแทนความหมายได้ทุกอารมณ์แล้วแต่คุณจะหยิบแบบไหน
เทียนหอม มาแรงในหมู่หนุ่มสาวชาวไทย ที่สื่อได้ทั้งความหมายจากรูปทรงหัวใจ และให้กลิ่นหอมชวนหลงใหลตามแต่ใครจะเลือกได้ถูกใจอีกฝ่ายแค่ไหน
วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553
เทศกาลคริสมาสต์
คริสมาสต์(Christmas หรือ X’Mas) คือเทศกาลเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ ซึ่งตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม พระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน คริ สมาสต์ เป็น คำทับศัพท์ภาษา อังกฤษ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า “บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า” คำว่า” Christes Maesse” พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas
ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส
ซึ่งเป็นวันเกิด ของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่ง ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้ง อาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวัน หรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิด ของสุริย เทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย
องค์ประกอบในการฉลองคริสมาสต์
1. คำอวยพร
สำหรับเทศกาลคริสมาสใช้ คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ “เพลง” ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรีย แห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย
2.ซานตาครอส
นักบุญ(เซนต์)นิโคลัสแห่งเมืองไม รา นักบุญองค์นี้เป็นสังฆราช ของ ไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่4 ได้รับการยกย่องให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุง เงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ซานตาครอสจริงๆแล้ว แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย
นักบุญนิโคลาส เป็นนักบุญ ที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะ มาเยี่ยม เด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ก็อยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้างเพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายไปในอเมริกา โดย มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลาสก็เปลี่ยน เป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็น สังฆราชซึ่งเป็นนักบุญองค์นั้นก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนใส่ชุดสีแดงอาศัยอยู่ ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อน เป็นยานพาหนะมีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมา ทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้ เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติ ของเขา
3.ต้นคริสมาสต์
ต้นคริสต์มาสหรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน การตกแต่งนี้ย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารี ชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ ของชีวิตและตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก
4.การทำมิสซาเที่ยงคืน
เมื่อพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส)ใน ปี นั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบล เบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระ เยซูเจ้าประสูติ พอไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่พักเป็นเวลาเช้ามืดราวๆ ตี 3 พระองค์ก็ถวาย มิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ก็ยังมีสัตบุรุษหลายคนที่ไม่ได้ไป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระ สันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือน กับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ใน โอกาสวันคริสต์มาส
5.เทียนและพวงมาลัย
ในสมัยก่อนมีกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมัน ได้เอากิ่งไม้มาประกอบ เป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของ เทศกาลเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะมารวมกัน ดับไฟ แล้วจุดเทียนเล่มหนึ่ง สวด ภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน เขาจะทำดังนี้ทุก อาทิตย์จนครบ 4 อาทิตย์ก่อน คริสต์มาส ประเพณีนี้เป็นที่นิยม และแพร่หลายในที่หลายแห่ง โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกาซึ่งต่อมา มีการเพิ่ม โดยเอาพวงมาลัยพร้อมกับเทียนที่จุดไว้ตรง กลาง 1 เล่มไป แขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อช่วย ให้คนที่ ผ่าน ไปมา ได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังเป็น สัญลักษณ์ที่คน สมัยโบราณใช้หมายถึงชัยชนะ แต่ในที่นี้หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และ ทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างครบ บริบูรณ์ตามแผนการณ์ ของพระเป็นเจ้า
6.เพลงคริสมาสต์
เพลงคริสต์มาส เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งผู้แต่งมีทั้งพระสงฆ์และฆราวาส เนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า แต่ใน ศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จาก ประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night ความ เป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อ โจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลง คริสต์มาสใหม่ นำไปเพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber)ใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก
เทศกาลในฮอลแลนด์
เทศกาลทิวลิป
ทิวลิป .. ราชินีแห่งดอกไม้ของชาวฮอลแลนด์
เมื่อพูดถึงดอกทิวลิป คนส่วนใหญ่จะนึกถึงประเทศ"เนเธอร์แลนด์" หรือ "ฮอลแลนด์" หลายคนคงรู้จักประเทศนี้ในนามดินแดนแห่ง "กังหันลม รองเท้าไม้ และดอกทิวลิป” ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้ เป็นเสมือนดังสัญลักษณ์ประจำชาติ ที่ดึงดูดให้ผู้คนจากทั่วสารทิศ เดินทางไปท่องเที่ยว
"ทิวลิป" มีที่มาจากชื่อที่เรียกผ้าโพกศีรษะของชาวสลาฟ (ชนชาวรัสเซียน,บัลกาเรียน, โบฮีเมียน และชาวโพล) เพราะด้วยรูปร่างของดอกทิวลิป มีความละม้ายคล้ายกับรูปทรงผ้าโพก ศีรษะของชาวสลาฟ ซึ่งชาวสลาฟเรียกผ้าโพกศีรษะนี้ว่า tulbend โดยปกติทิวลิปเป็นดอกไม้ เมืองหนาวที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรป มีอยู่หลายสี และเป็นสื่อที่แสดงถึงความรัก
เทศกาลส้ม
มีแต่รูปนะคะ ต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถเอาเนื้อหามาลงได้
วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553
เทศกาลในเยอรมนี
เทศกาลกินเบียร์แห่งชาติ(Oktoberfest)
มันคือ เทศกาลกินเบียร์แห่งชาติ หรือถ้าจะบอกว่าเป็นเททศศกาลกินเบียร์อันดับ 1 ของโลกก็คงจะไม่ผิดนัก ว่ากันว่าเทศกาล Oktoberfest เป็นเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดของโลกอีกต่างหาก เพราะมีคนเดินทางมาร่วมงานในปีๆ หนึ่งมากกว่า 6 ล้านคน เพื่อดื่มเบียร์ประมาณ 6 ล้านลิตร และไส้กรอกหมูกว่า 430,000 เส้น
เทศกาลนี้จะเริ่มต้นขึ้นในวันอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี กินเวลา 16 วันเต็มๆ บนพื้นที่ 42เอเคอร์ที่มีชื่อว่า Theresienwiese ในเมืองมิวนิค ซึ่งตั้งอยู่ในแคว้นบาวาเรีย ลักษณะพิเศษของงาน Oktoberfest คือ มีโรงเบียร์ขนาดใหญ่ 14 โรง (จริงๆ แล้วคือเต็นท์ขนาดยักษ์) ให้เลือกเข้าไปนั่งดื่มกัน นำโดยแบรนด์ดังๆอย่าง Spaten, Augustiner, Paulaner, Hacker-Pschorr, Hofbr?u, Lo?wenbr?u และเมื่อนำทุกโรงเบียร์มารวมกัน ในแต่ละคืนจะสามารถรองรับนักดื่มได้ถึง 1 แสนคนเลยทีเดียว ที่สำคัญ คือ ทุกคนมาสนุกสนาน ครื้นเครง เป็นกันเอง ไปกับรสชาติของเบียร์ และเสียงดนตรี แน่นอนว่าเบียร์เป็นพระเอกของงานนี้ มันจะถูกบรรจุมาในแก้วขนาด 1 ลิตร ที่มีชื่อเรียกว่า Mab แต่ที่น่าลิ้มลองไม่น้อยไปกว่ากัน คือ อาหารท้องถิ่น นำโดย Sausage (ไส้กรอกหมู) Hendi (ไก่)และ Kasespatzle (เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ทำมาจากชีส) รวมถึงของหวานอย่างแพนเค้ก แอปเปิ้ล ราคาของ Mab นั้นเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยในปีนี้คาดว่าจะมีราคาประมาณ 7-8 ยูโร หรือตกประมาณ 350-400 บาท
ในวันเปิดงานจะมีขบวนพาเหรด รถม้า วงดุริยางค์ ขบวนรถตกแต่ง ตามแบบฉบับของคนบาวาเรี่ยน เดินแห่ไปตามท้องถนนของเมืองมิวนิค คล้ายๆ กับงานแห่ตามต่างจังหวัดของบ้านเรา นอกจากนี้ ยังมีสวนสนุกขนาดใหญ่ และเครื่องเล่นเจ๋งๆ มาช่วยเพิ่มความมันส์กันอีกด้วย ส่วนประวัติคร่าวๆ ของ Oktoberfest งานนี้มีขึ้นมาตั้งแต่ปี 1810 เพื่อเฉลิมฉลองพิธีแต่งงานของพระราชกุมารลุดวิก
มันคือ เทศกาลกินเบียร์แห่งชาติ หรือถ้าจะบอกว่าเป็นเททศศกาลกินเบียร์อันดับ 1 ของโลกก็คงจะไม่ผิดนัก ว่ากันว่าเทศกาล Oktoberfest เป็นเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดของโลกอีกต่างหาก เพราะมีคนเดินทางมาร่วมงานในปีๆ หนึ่งมากกว่า 6 ล้านคน เพื่อดื่มเบียร์ประมาณ 6 ล้านลิตร และไส้กรอกหมูกว่า 430,000 เส้น
เทศกาลนี้จะเริ่มต้นขึ้นในวันอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี กินเวลา 16 วันเต็มๆ บนพื้นที่ 42เอเคอร์ที่มีชื่อว่า Theresienwiese ในเมืองมิวนิค ซึ่งตั้งอยู่ในแคว้นบาวาเรีย ลักษณะพิเศษของงาน Oktoberfest คือ มีโรงเบียร์ขนาดใหญ่ 14 โรง (จริงๆ แล้วคือเต็นท์ขนาดยักษ์) ให้เลือกเข้าไปนั่งดื่มกัน นำโดยแบรนด์ดังๆอย่าง Spaten, Augustiner, Paulaner, Hacker-Pschorr, Hofbr?u, Lo?wenbr?u และเมื่อนำทุกโรงเบียร์มารวมกัน ในแต่ละคืนจะสามารถรองรับนักดื่มได้ถึง 1 แสนคนเลยทีเดียว ที่สำคัญ คือ ทุกคนมาสนุกสนาน ครื้นเครง เป็นกันเอง ไปกับรสชาติของเบียร์ และเสียงดนตรี แน่นอนว่าเบียร์เป็นพระเอกของงานนี้ มันจะถูกบรรจุมาในแก้วขนาด 1 ลิตร ที่มีชื่อเรียกว่า Mab แต่ที่น่าลิ้มลองไม่น้อยไปกว่ากัน คือ อาหารท้องถิ่น นำโดย Sausage (ไส้กรอกหมู) Hendi (ไก่)และ Kasespatzle (เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ทำมาจากชีส) รวมถึงของหวานอย่างแพนเค้ก แอปเปิ้ล ราคาของ Mab นั้นเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยในปีนี้คาดว่าจะมีราคาประมาณ 7-8 ยูโร หรือตกประมาณ 350-400 บาท
ในวันเปิดงานจะมีขบวนพาเหรด รถม้า วงดุริยางค์ ขบวนรถตกแต่ง ตามแบบฉบับของคนบาวาเรี่ยน เดินแห่ไปตามท้องถนนของเมืองมิวนิค คล้ายๆ กับงานแห่ตามต่างจังหวัดของบ้านเรา นอกจากนี้ ยังมีสวนสนุกขนาดใหญ่ และเครื่องเล่นเจ๋งๆ มาช่วยเพิ่มความมันส์กันอีกด้วย ส่วนประวัติคร่าวๆ ของ Oktoberfest งานนี้มีขึ้นมาตั้งแต่ปี 1810 เพื่อเฉลิมฉลองพิธีแต่งงานของพระราชกุมารลุดวิก
เทศกาลในอังกฤษ
Cooper's Hill Cheese-Rolling and Wake
คือ งานประจำปีของคนท้องถิ่น บริเวณเนินเขาคูเปอร์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับเมืองเชลเท่นแฮม และกลูเชสเตอร์ ในประเทศอังกฤษ ความสนุกของเทศกาลนี้ คือ จะมีการกลิ้งชีสก้อนกลมโต Double Gloucester Cheese(เหมือนในซูเปอร์มาร์เกต) ลงมาจากบนเนินเขา โดยคนที่วิ่งตามลงมาเก็บได้ก่อน จะได้รับชีสนั้นกลับบ้านไปเป็นรางวัล
ฟังดูเหมือนธรรมดาๆ แต่เชื่อหรือไม่ว่า ชีสนั้นกลิ้งจากเนินเขาด้วยความเร็วประมาณ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง !มันเคยกลิ้งลงมาชนคนดูจนสลบมาแล้วในปี 1997 และไม่มีทางเลย ที่จะมีคนวิ่งมาเก็บมันได้ทัน ชีสจะถึงตีนเขาก่อนใครเพื่อน เพราะฉะนั้นคนแรกที่ลงมาถึงเนินเขาได้ก่อนเพื่อน คือ ผู้ชนะ ความสนุก และความฮามันอยู่ตรงนี้ล่ะครับ เพราะการวิ่งลงเนินเขามันไม่ง่ายเลย ผู้เข้าร่วมแข่งขันจะกลิ้งลงมาจากเนินเขาอย่างทุลักทุเล บางคนถึงกับตีลังกาหลายสิบตลบก็มี กว่าจะมาถึงตีนเขาที่ผ่านมา มันเป็นงานประจำปีของคนท้องถิ่นในหมู่บ้านบรอคเวิร์ธเท่านั้น แต่ทุกวันนี้มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมามีส่วนร่วมด้วยมากมายทุกปี และทุกคนสามารถลงแข่งขันได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ แต่ระวังให้ดี เพราะโอกาสเจ็บตัวมีเยอะมาก
ว่ากันว่า เทศกาลกลิ้งชีสนี้มีมานานแล้วกว่า 200 ปี ตั้งแต่สมัยโรมันเลยทีเดียว แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้แต่อย่างใด สำหรับในปีนี้จะมีขึ้นเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม วันเดียวเท่านั้นและเริ่มกลิ้งชีสรอบแรกตอนเที่ยง
คือ งานประจำปีของคนท้องถิ่น บริเวณเนินเขาคูเปอร์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับเมืองเชลเท่นแฮม และกลูเชสเตอร์ ในประเทศอังกฤษ ความสนุกของเทศกาลนี้ คือ จะมีการกลิ้งชีสก้อนกลมโต Double Gloucester Cheese(เหมือนในซูเปอร์มาร์เกต) ลงมาจากบนเนินเขา โดยคนที่วิ่งตามลงมาเก็บได้ก่อน จะได้รับชีสนั้นกลับบ้านไปเป็นรางวัล
ฟังดูเหมือนธรรมดาๆ แต่เชื่อหรือไม่ว่า ชีสนั้นกลิ้งจากเนินเขาด้วยความเร็วประมาณ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง !มันเคยกลิ้งลงมาชนคนดูจนสลบมาแล้วในปี 1997 และไม่มีทางเลย ที่จะมีคนวิ่งมาเก็บมันได้ทัน ชีสจะถึงตีนเขาก่อนใครเพื่อน เพราะฉะนั้นคนแรกที่ลงมาถึงเนินเขาได้ก่อนเพื่อน คือ ผู้ชนะ ความสนุก และความฮามันอยู่ตรงนี้ล่ะครับ เพราะการวิ่งลงเนินเขามันไม่ง่ายเลย ผู้เข้าร่วมแข่งขันจะกลิ้งลงมาจากเนินเขาอย่างทุลักทุเล บางคนถึงกับตีลังกาหลายสิบตลบก็มี กว่าจะมาถึงตีนเขาที่ผ่านมา มันเป็นงานประจำปีของคนท้องถิ่นในหมู่บ้านบรอคเวิร์ธเท่านั้น แต่ทุกวันนี้มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมามีส่วนร่วมด้วยมากมายทุกปี และทุกคนสามารถลงแข่งขันได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ แต่ระวังให้ดี เพราะโอกาสเจ็บตัวมีเยอะมาก
ว่ากันว่า เทศกาลกลิ้งชีสนี้มีมานานแล้วกว่า 200 ปี ตั้งแต่สมัยโรมันเลยทีเดียว แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้แต่อย่างใด สำหรับในปีนี้จะมีขึ้นเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม วันเดียวเท่านั้นและเริ่มกลิ้งชีสรอบแรกตอนเที่ยง
เทศกาลในสเปน
เทศกาลมะเขือเทศ (La Tomatina Festival)
เป็นเทศกาลการ ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันพุธสุดท้ายของเดือนสิงหาคม ณ เมืองBunol ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ห่างจาก วาเล็นเซีย (Valencia) ไปประมาณ 40 กม. โดยมีการเล่าขานกันมากมาย ถึงตำนานของการเล่นปามะเขือเทศ บางคนเชื่อว่า มาจากเพื่อนสองคน รับประทานอาหารอยู่ในร้าน แล้วเกิดมีปากเสียงกัน จากนั้นก็หยิบอาหารมาปาใส่กัน และต่อมาก็เริ่มมีการเลียนแบบ ซึ่งเริ่มจากนอกร้าน ไปทั่วทั้งชานเมืองแล้วขยายวงกว้าง ออกไปตามเมืองใกล้เคียง
บางคนเชื่อว่าเทศกาลมะเขือเทศ เริ่มขึ้นประมาณ ในปี 1940 ที่ว่ากันว่าเกิดจากความโกรธแค้น ของนักดนตรีคนหนึ่ง ที่พบเห็นความขาดแคลน ของชาวเมืองในยุคที่นายพลฟรังซิสโก ฟรังโก ปกครองระบอบเผด็จการ
อีกตำนานหนึ่งเชื่อว่า มาจากกลุ่มคนที่อยากแกล้งคน ที่กำลังเดินถนนในเมือง โดยร้องเพลงและเล่นดนตรีไปด้วย แต่เขาเล่นได้ไม่ดี คนในเมือง จึงหยิบผักและผลไม้ ที่แผงลอยปาใส่แต่ที่มากหน่อย คงจะเป็นมะเขือเทศ ปากันไปปากันมาจนลุกลามมากขึ้น กลายเป็นศึกปามะเขือเทศ
แต่ตำนานที่น่าเชื่อถือที่สุดคือ การเริ่มต้นขึ้นในปี 1945 โดยกลุ่มวัยรุ่นต้องการร่วมขบวนพาเหรด "Gigantes y Cabezudo" แต่เล่นผลักกันไปผลักกันมา ชนคนในขบวนที่อยู่ในชุดยักษ์ล้มลง เมื่อลุกขึ้นมาได้เขาจึงทำร้ายทุกคนรอบตัว ทำให้เกิดการชุลมุน เริ่มมีการขว้างปาสิ่งของใส่กัน ไม่รู้ว่าเป็นโชคชะตา หรือความบังเอิญมีแผงลอย ขายผักผลไม้อยู่บริเวณนั้น มันจึงเป็นของที่ใกล้มือที่สุด(หนึ่งในนั้นมีมะเขือเทศด้วย) ซึ่งพอจะนำมาใช้เป็นอาวุธ ที่ใช้ขว้างใส่กันอย่างอุตลุด จนกระทั่งตำรวจต้องเข้ามายุติความวุ่นวาย การจราจลในครั้งนี้ไม่ได้ถูกลืมเลือนไป โดยในปีต่อมา กลุ่มวัยรุ่นได้รวมตัวกันอีกครั้ง พร้อมด้วยมะเขือเทศ ที่นำมาใช้เพื่อเขวี้ยงใส่กัน และยุติลงอีกครั้งด้วยตำรวจท้องถิ่น
ต่อมาในปี 1950 ได้มีการอนุญาตให้จัดงานเทศกาลที่เมืองBunol แต่ปีต่อมาก็ไม่ได้สามารถจัดงานได้อีก เนื่องจากเกิดการทะเลาะวิวาท ของกลุ่มวัยรุ่น แต่อย่างไรก็ตามชาวเมืองยังยืนยันว่า พวกเขาต้องการให้มีประเพณีเช่นนี้ เกิดขึ้นอีก ฝ่ายบริหารจึงยอมให้มีการจัดงานขึ้น แต่ความวุ่ยวายก็ยังไม่จบลง เมื่อมีการเล่นเกิดขอบเขต มีการขว้างปามะเขือเทศใส่ผู้อื่น ที่ไม่ได้เข้าร่วมงาน สร้างความเสียหาย ด้วยการกระโดดลงไปในน้ำพุเทียม จึงมีการสั่งห้ามอีกครั้ง พร้อมออกกฏหมายลงโทษขั้นรุนแรงกับผู้ที่ฝ่าฝืน แต่ด้วยความปรารถนาอย่าแรงกล้า ของชาวเมืองที่ต้องการให้มีเทศกาลนี้ จึงมีการเดินขบวนเพื่อเรียกร้อง ให้มีการจัดเทศกาลมะเขือเทศ ขึ้นอีก จึงได้มีการยินยอม ให้จัดงานนี้ขึ้นอย่างเป็นทางการได้อีกครั้ง ในปี 1959 ภายใต้ขอบเขต เช่น ห้ามขว้างปาสิ่งอื่นใดนอกจากมะเขือเทศ นับแต่นั้นมา เทศกาลมะเขือเทศ หรือสงครามมะเขือเทศ ก็จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และยังถือเป็นการเฉลิมฉลองนักบุญซาน ลุยส์ เบอร์แทรม (SAN LUIS BERTRAM) ซึ่งเป็นนักบุญประจำเมืองไปด้วย
เป็นเทศกาลการ ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันพุธสุดท้ายของเดือนสิงหาคม ณ เมืองBunol ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ห่างจาก วาเล็นเซีย (Valencia) ไปประมาณ 40 กม. โดยมีการเล่าขานกันมากมาย ถึงตำนานของการเล่นปามะเขือเทศ บางคนเชื่อว่า มาจากเพื่อนสองคน รับประทานอาหารอยู่ในร้าน แล้วเกิดมีปากเสียงกัน จากนั้นก็หยิบอาหารมาปาใส่กัน และต่อมาก็เริ่มมีการเลียนแบบ ซึ่งเริ่มจากนอกร้าน ไปทั่วทั้งชานเมืองแล้วขยายวงกว้าง ออกไปตามเมืองใกล้เคียง
บางคนเชื่อว่าเทศกาลมะเขือเทศ เริ่มขึ้นประมาณ ในปี 1940 ที่ว่ากันว่าเกิดจากความโกรธแค้น ของนักดนตรีคนหนึ่ง ที่พบเห็นความขาดแคลน ของชาวเมืองในยุคที่นายพลฟรังซิสโก ฟรังโก ปกครองระบอบเผด็จการ
อีกตำนานหนึ่งเชื่อว่า มาจากกลุ่มคนที่อยากแกล้งคน ที่กำลังเดินถนนในเมือง โดยร้องเพลงและเล่นดนตรีไปด้วย แต่เขาเล่นได้ไม่ดี คนในเมือง จึงหยิบผักและผลไม้ ที่แผงลอยปาใส่แต่ที่มากหน่อย คงจะเป็นมะเขือเทศ ปากันไปปากันมาจนลุกลามมากขึ้น กลายเป็นศึกปามะเขือเทศ
แต่ตำนานที่น่าเชื่อถือที่สุดคือ การเริ่มต้นขึ้นในปี 1945 โดยกลุ่มวัยรุ่นต้องการร่วมขบวนพาเหรด "Gigantes y Cabezudo" แต่เล่นผลักกันไปผลักกันมา ชนคนในขบวนที่อยู่ในชุดยักษ์ล้มลง เมื่อลุกขึ้นมาได้เขาจึงทำร้ายทุกคนรอบตัว ทำให้เกิดการชุลมุน เริ่มมีการขว้างปาสิ่งของใส่กัน ไม่รู้ว่าเป็นโชคชะตา หรือความบังเอิญมีแผงลอย ขายผักผลไม้อยู่บริเวณนั้น มันจึงเป็นของที่ใกล้มือที่สุด(หนึ่งในนั้นมีมะเขือเทศด้วย) ซึ่งพอจะนำมาใช้เป็นอาวุธ ที่ใช้ขว้างใส่กันอย่างอุตลุด จนกระทั่งตำรวจต้องเข้ามายุติความวุ่นวาย การจราจลในครั้งนี้ไม่ได้ถูกลืมเลือนไป โดยในปีต่อมา กลุ่มวัยรุ่นได้รวมตัวกันอีกครั้ง พร้อมด้วยมะเขือเทศ ที่นำมาใช้เพื่อเขวี้ยงใส่กัน และยุติลงอีกครั้งด้วยตำรวจท้องถิ่น
ต่อมาในปี 1950 ได้มีการอนุญาตให้จัดงานเทศกาลที่เมืองBunol แต่ปีต่อมาก็ไม่ได้สามารถจัดงานได้อีก เนื่องจากเกิดการทะเลาะวิวาท ของกลุ่มวัยรุ่น แต่อย่างไรก็ตามชาวเมืองยังยืนยันว่า พวกเขาต้องการให้มีประเพณีเช่นนี้ เกิดขึ้นอีก ฝ่ายบริหารจึงยอมให้มีการจัดงานขึ้น แต่ความวุ่ยวายก็ยังไม่จบลง เมื่อมีการเล่นเกิดขอบเขต มีการขว้างปามะเขือเทศใส่ผู้อื่น ที่ไม่ได้เข้าร่วมงาน สร้างความเสียหาย ด้วยการกระโดดลงไปในน้ำพุเทียม จึงมีการสั่งห้ามอีกครั้ง พร้อมออกกฏหมายลงโทษขั้นรุนแรงกับผู้ที่ฝ่าฝืน แต่ด้วยความปรารถนาอย่าแรงกล้า ของชาวเมืองที่ต้องการให้มีเทศกาลนี้ จึงมีการเดินขบวนเพื่อเรียกร้อง ให้มีการจัดเทศกาลมะเขือเทศ ขึ้นอีก จึงได้มีการยินยอม ให้จัดงานนี้ขึ้นอย่างเป็นทางการได้อีกครั้ง ในปี 1959 ภายใต้ขอบเขต เช่น ห้ามขว้างปาสิ่งอื่นใดนอกจากมะเขือเทศ นับแต่นั้นมา เทศกาลมะเขือเทศ หรือสงครามมะเขือเทศ ก็จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และยังถือเป็นการเฉลิมฉลองนักบุญซาน ลุยส์ เบอร์แทรม (SAN LUIS BERTRAM) ซึ่งเป็นนักบุญประจำเมืองไปด้วย
วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553
เทศกาลในญี่ปุ่น
ฤดูร้อน
เทศกาลทานาบะตะ (Tanabata Festival)
เทศกาลกิออน (Gion Matsuri)
เทศกาลกิออนเป็นเทศกาลของชาวบ้านในเมืองเกียวโต ชาวบ้านทุกคนมาร่วมกันจัดงาน จึงไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมาย เป็นเทศกาลเฮฮา เสียงดัง และมีเครื่องดนตรีบรรเลงเพลงพื้นเมืองของเกียวโตด้วย ซึ่งต่างกับ Aoi Matsuri เพราะ Aoi เป็นเทศกาลที่เกี่ยวข้องกับพระราชสำนักจึงเป็นระเบียบเรียบร้อย
เทศกาลกิออน เริ่มจัดครั้งแรกในปีค.ศ. 869 (1,140ปีมาแล้ว)โดยเดิมทีทำเพื่อบูชาเทพเจ้าให้ช่วยหยุดโรคระบาดที่กำลังเกิดในตอนนั้นซึ่งเรื่องมีอยู่ว่า... ในขณะนั้นเมืองเฮอันเคียว(ชื่อเดิมของเมืองเกียวโต ) ซึ่งเป็นเมืองหลวงใหม่(ได้ย้ายมาจากนาราตามประวัติศาสตร์) ได้เกิดโรคระบาดขึ้น เชื่อกันว่าเนื่องจากเทพเจ้า Gozu ทรงพิโรจ โกรธกริ้ว สมเด็จพระจักรพรรดิในขณะนั้นจึงได้เดินทางไปขอพรกับเทพ Susano-onomikoto ที่ศาลเจ้ากิออน ปัจจุบันชื่อศาลเจ้ายาซากะ ( Yasaka Shrine)
โดยงานเทศกาลกิออนจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม และมีไปตลอดทั้งเดือนของทุกปี โดยพิธีสำคัญจะมีในวันที่ 14-16 เรียกว่า Yoiyama จะมีเทศกาลออกร้านเหมือนงานวัดเลย และในคืนวันที่16 จะปิดถนน และนำเอา Yama-boko Junko รถขบวนที่จะแห่ในวันที่ 17 มาตั้งโชว์ เปิดให้คนเดินเข้าไปดูข้างในได้ บางหลังก็จะเอาสมบัติเก่าต่างๆ ออกมาโชว์ให้ได้ดูกัน และวันที่สำคัญที่มีผู้เข้าร่วมงานมากมายเกิน1แสนคนเพื่อชมขบวนแห่ในวันที่ 17 ซึ่งเรียกพิธีในวันนี้ว่า Yamahoko-junkou
ฤดูใบไม้ผลิ
เทศกาลฮินะ (Hina Matsuri) หรือฮินะ มัตสุริ
เทศกาลนี้จะมีการจัดขึ้นในวันที่ 3 มีนาคม เป็นประจำทุกปี ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยเอโดะ Edo (1603-1867) เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองของเด็กผู้หญิงในประเทศญี่ปุ่น โดยจะมีการตกแต่งตุ๊กตาญี่ปุ่น ที่สวยงามหลายตัวบนชั้นวาง ที่ตั้งอยู่ภายในบ้าน ตามความเชื่อที่ว่า จะทำให้ลูกสาวมีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุข บางครั้งเรียกเทศกาลนี้ว่า เทศกาลเด็กผู้หญิง (Girl's Festival) ชาวญี่ปุ่นรับเทศกาลนี้มาจากธรรมเนียมจีน ตามความเชื่อว่า จะสามารถขจัดเคราะห์ร้าย ให้ไปกับตุ๊กตาได้ โดยปล่อยตุ๊กตาลอยไปกับแม่น้ำ ส่วนในประเทศญี่ปุ่น จะถือว่าเป็นเทศกาลของการอธิษฐานให้ลูกสาวมีความสุข ขจัดพลังชั่วร้ายออกไปจากชีวิต ประสบความสำเร็จ สุขภาพร่างกายแข็งแรง และสวย
เด็กผู้หญิงที่เริ่มเข้าสู่เทศกาลฮินะครั้งแรก จะถูกเรียกว่า "ฮัตสุ เซกุ" (hatzu-zekku) โดยจะเป็นที่ชื่นชอบในหมู่ย่าหรือยาย เพราะพวกเธอจะซื้อตุ๊กตามาจัดโชว์ให้กับหลานสาว เริ่มนำตุ๊กตามาทำความสะอาดตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ จนกระทั่งเมื่อถึงวันที่ 3 มีนาคม ก็จะนำตุ๊กตาฮินะหรือ ฮินะนิงโย (hinaningyo) มาตั้งโชว์ ซึ่งเป็นตุ๊กตาที่ทำด้วยมือแบบดั้งเดิม วางไว้บนชั้นปกติจะมีทั้งหมด 7 ชั้น รอบๆ ชั้นจะประดับด้วยเครื่องบูชา เช่น ดอกพีช ข้าว เค้ก และเค้ก ที่ทำจากข้าวรูปร่างคล้ายเพชร ซึ่งเรียกว่าฮิชิโมกิ (hishimochi) รวมไปถึงสาเกขาว และคิราชิซูชิ (chirashi sushi) ตุ๊กตาที่ส่วนใหญ่จะต้องนำมาวางในชั้น คือ ตุ๊กตา เจ้าชายโอไดริ-ซามะ (Odairi-sama) และเจ้าหญิงโอฮินะ-ซามะ (Ohina-sama) ซึ่งตุ๊กตาทั้งสองตัวนี้ จะถูกวางไว้บนสุดของชั้นวาง รายล้อมไปด้วยข้าราชบริพาร และเครื่องตกแต่งชิ้นเล็กๆ โดยฉากหลังของชั้น จะประดับด้วยฉากที่เป็นสีทอง ให้เหมือนกับคฤหาสน์จำลอง
ว่ากันว่าจำนวนชั้นจะมากหรือน้อยนั้น ก็เป็นการแสดงถึงฐานะของแต่ละบ้าน ซึ่งระดับจะสูงสุดที่ประมาณ 7 ขั้น จำนวนตุ๊กตาและการตกแต่งจัดเครื่องแต่งกายให้กับตุ๊กตาก็เป็นการแสดงออกถึง ฐานะเช่นกัน โดยทั่วไปในหนึ่งเซทจะมีประมาณ 15 ตัว เป็นตุ๊กตาชาววังที่เริ่มตั้งแต่ จักรพรรดิ จักรพรรดินี เจ้าชาย เจ้าหญิง ผู้รับใช้ ฯลฯ ลดหลั่นกันลงมาตามลำดับ
ในยุคแรกๆ การตั้งตุ๊กตาเป็นประเพณีของผู้มีอันจะกิน หลักๆ จะเป็นตุ๊กตาเจ้าชายและเจ้าหญิง โดยในสมัยโบราณนั้นจะมีการจัดทำตุ๊กตาฮินะขึ้นจากวัสดุพวกไม้กระดาษที่ทำ ขึ้นมาอย่างง่ายๆ แล้วนำไปใส่กระด้งเล็กๆ ลอยแม่น้ำหรือทะเลเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ภาวนาให้ลูกสาวของบ้านนั้นเติบโตขึ้นโดยมีสุขภาพแข็งแรง หลังจากนั้นก็ได้รับความนิยมเรื่อยมาจนเกิดเป็นประเพณีของผู้คนทุกฐานะ และเริ่มตกแต่ง ประดับประดา จัดทำเครื่องแต่งกายให้สวยงามมากขึ้น ใช้วัสดุที่ดีอย่างผ้าไหมตัดเป็นเครื่องแต่งกายให้ตุ๊กตาในชุดกิโมโนเต็มยศ แบบโบราณ ซึ่งบางบ้านเป็นตุ๊กตาประจำตระกูลที่สืบทอดต่อๆ กันมาหลายร้อยปี มีการบูชาและถวายเครื่องเซ่นต่างๆ ทั้งขนมหวานที่ชื่อว่า " อาราเร่ " และขนมที่ทำมาจากข้าวเหนียว " คาชิวะ โมจิ " หรืออาจจะเป็นเค้กที่ทำจากข้าว พร้อมเครื่องดื่มพวกเหล้าขาวอย่าง " ชิโรสาเก " และบูชาด้วยดอกไม้อย่างดอกท้อ เทศกาลน่ารักๆ นี้ แต่ละครอบครัวที่มีลูกสาวจะเลี้ยงฉลองพิธีนี้อย่างตั้งใจ มีการดื่มฉลองแสดงความยินดีและอวยพรให้เติบโตอย่างมีความสุข และในปัจจุบันก็เปิดโอกาสให้มีการสังสรรค์กันในกลุ่มเพื่อนๆ เพิ่มขึ้น คืออาจจะชวนกันมาจัดปาร์ตี้กลางแจ้ง ทานอาหารร่วมกันที่บ้าน ซึ่งนับเป็นอีกเทศกาลหนึ่งที่สามารถสร้างรอยยิ้ม สร้างความสุข และสร้างความสัมพันธ์อันดีให้กับคนในครอบครัว
มีความเชื่อกันว่าถ้าบ้านไหนจัดบูชาตุ๊กตาในวันที่ 3 มีนาคมแล้วนั้น หากพ้นวันนี้ไปแล้วต้องรีบเก็บตุ๊กตาทันที เพราะหากประดับทิ้งไว้นานๆ จะทำให้ลูกสาวขึ้นคานได้ แต่ก็มีอีกความเชื่อหนึ่งที่กล่าวว่า จะตั้งตุ๊กตาฮินะประดับไว้จนถึงวันเด็กผู้ชายในวันที่ 5 พฤษภาคม เพื่อเป็นการฉลองต่อเนื่องกันไปเลย จากนั้นจึงค่อยเก็บให้เรียบร้อยเพื่อนำออกมาประดับในปีต่อๆไป
เทศกาลทานาบะตะ (Tanabata Festival)
วันที่ 7 เดือน 7 เป็นวันของเทศกาล ทานาบาตะ หรือ TANABATA หรือจะเรียกว่าการเฉลิมฉลอง Hoshi (ดาว) ทานาบาตะ Tanabata ( Seven Evening) เทศกาลของ หญิงทอผ้ากับชาย เลี้ยงวัว เป็นเรื่องที่ญี่ปุ่นเอามาจากจีน เรื่องเล่านี้มีมาตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ถังในประเทศจีน (ค.ศ. 618-906) เป็นเรื่องของดาวสองดวง คือ Orihime ( Weaves cloths) กับ Hikohoshi ( who breeds cattle in the heaven ) เป็นวันที่ดาวที่สว่างที่สุดสองดวงนี้จะมาพบกัน ปกติดาวทั้งสองจะอยู่คนละฝากของทางช้างเผือก มันจะมาใกล้กันที่สุดก็คือในคืนวัน Tanabata นี่แหละ
เรื่องเล่าก็มีอยู่ว่า ...นานมาแล้ว มี Emperor ที่มีลูกสาวอยู่คนนึงที่ชื่อว่า Orihime หรือเจ้าหญิงทอผ้านั่นแหละ ทั้งสองอาศัยอยู่ในปราสาทบนฝั่งตะวันออกของทางช้างเผือก หรือแม่น้ำแห่งสวรรค์ เจ้าหญิง Orihime ใช้เวลาของเธอไปกับการทอผ้าให้กับพระบิดา จึงถูกเรียกว่า The Weaver หรือสาวทอผ้าEmperor ได้ข่าวว่าที่อีกฝากของทางช้างเผือกมีชายหนุ่มที่กล้าหาญและหล่อเหลาที่ชื่อว่า Hikohoshiอาศัยอยู่ จึงอยากให้บุตรีของตนได้แต่งงานกับชายหนุ่มผู้นี้ยิ่งนัก Emperor จึงได้แนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน เมื่อทั้งสองได้พบกัน เขาทั้งสองก็รักกันเข้า สมใจ Emperor แต่ติดปัญหาอยู่ที่ เจ้าหญิงรัก ชายหนุ่มมากซะจนไม่เป็นอันทอผ้า Emperor โกรธยิ่งนัก จึงไม่อนุญาติให้ทั้งสองพบกันอีก ทั้งสองจะพบกันได้ก็แต่เพียงในคืนของวันที่ 7 เดือน 7 ของทุกปีเท่านั้น ชายหนุ่มและหญิงสาว เศร้ามาก ได้แต่คอยนับวันที่เขาทั้งสองจะได้พบกันอีก"ในคืนที่เจ็ดของเดือนที่เจ็ด นก Kasasagi จะเรียงตัวกัน สร้างเป็นสะพานสวรรค์ ให้คู่รักได้มาพบกัน."
ตำนานยังบอกต่อไปอีกว่า ถ้าวันที่เจ็ด เดือนเจ็ดของปีไหน ฝนตกละก็ ไม่เพียงแต่หนุ่มสาวที่รอฉลอง Tanavata บนโลกจะผิดหวังแล้ว หญิงทอผ้า กับชายเลี้ยงวัวก็จะผิดหวังด้วย เพราะทั้งสองต้องรอจนถึงปีถัดไป เพื่อที่จะมีโอกาสพบกันอีก
การฉลอง Tanabata นี้เริ่มในศตวรรษที่ 9 หรือที่ 10 แต่ไม่ได้รับความนิยมจนถึงสมัย Tokugawa (ค.ศ. 1603-1837) ที่ชาวบ้านโตเกียว เริ่มฉลอง Tanabata กัน ดาวคนเลี้ยงวัวเป็นตัวแทนของ พรสวรรค์ด้านศิลปะ ส่วน ดาวหญิงทอผ้าเป็นตัวแทนของ ความสูงศักดิ์ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมา ชาวญี่ปุ่นก็เริ่มเขียนกลอนไปไว้บนต้นไผ่ เพราะว่าต้นไผ่ถือเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในยุคนั้น ส่วนของที่แขวนบนต้นไผ่ก็จะมี กระดาษที่ใช้อธิฐานที่เรียกว่า tanzaku จะตัดเป็นรูปกิโมโนสำหรับเจ้าหญิงทอผ้า กับด้ายห้าสี สำหรับชายเลี้ยงวัว พอแขวนจนพอใจแล้ว ก็จะนำต้นไผ่นั้นไปลอยแม่น้ำ
เทศกาลนี้จะว่าไปก็เป็นการฉลองวันแรกของการเพาะปลูกของญี่ปุ่นนั่นเอง ผู้คนจะอธิฐานขอให้การเพาะปลูกได้ผลดีจากเทพวัว และขอให้สามารถทอผ้าได้เก่งจากเทพ ทอผ้า ในปัจจุบัน พอพูดถึง Tanabata คนญี่ปุ่นจะนึกถึง วันหยุดของเด็กๆ การประดับต้นไผ่ เปรียบเหมือนกับการตกแต่งต้น Christmas ของฝรั่งนั่นเอง
เทศกาลกิออนเป็นเทศกาลของชาวบ้านในเมืองเกียวโต ชาวบ้านทุกคนมาร่วมกันจัดงาน จึงไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมาย เป็นเทศกาลเฮฮา เสียงดัง และมีเครื่องดนตรีบรรเลงเพลงพื้นเมืองของเกียวโตด้วย ซึ่งต่างกับ Aoi Matsuri เพราะ Aoi เป็นเทศกาลที่เกี่ยวข้องกับพระราชสำนักจึงเป็นระเบียบเรียบร้อย
เทศกาลกิออน เริ่มจัดครั้งแรกในปีค.ศ. 869 (1,140ปีมาแล้ว)โดยเดิมทีทำเพื่อบูชาเทพเจ้าให้ช่วยหยุดโรคระบาดที่กำลังเกิดในตอนนั้นซึ่งเรื่องมีอยู่ว่า... ในขณะนั้นเมืองเฮอันเคียว(ชื่อเดิมของเมืองเกียวโต ) ซึ่งเป็นเมืองหลวงใหม่(ได้ย้ายมาจากนาราตามประวัติศาสตร์) ได้เกิดโรคระบาดขึ้น เชื่อกันว่าเนื่องจากเทพเจ้า Gozu ทรงพิโรจ โกรธกริ้ว สมเด็จพระจักรพรรดิในขณะนั้นจึงได้เดินทางไปขอพรกับเทพ Susano-onomikoto ที่ศาลเจ้ากิออน ปัจจุบันชื่อศาลเจ้ายาซากะ ( Yasaka Shrine)
โดยงานเทศกาลกิออนจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม และมีไปตลอดทั้งเดือนของทุกปี โดยพิธีสำคัญจะมีในวันที่ 14-16 เรียกว่า Yoiyama จะมีเทศกาลออกร้านเหมือนงานวัดเลย และในคืนวันที่16 จะปิดถนน และนำเอา Yama-boko Junko รถขบวนที่จะแห่ในวันที่ 17 มาตั้งโชว์ เปิดให้คนเดินเข้าไปดูข้างในได้ บางหลังก็จะเอาสมบัติเก่าต่างๆ ออกมาโชว์ให้ได้ดูกัน และวันที่สำคัญที่มีผู้เข้าร่วมงานมากมายเกิน1แสนคนเพื่อชมขบวนแห่ในวันที่ 17 ซึ่งเรียกพิธีในวันนี้ว่า Yamahoko-junkou
ฤดูใบไม้ผลิ
เทศกาลฮินะ (Hina Matsuri) หรือฮินะ มัตสุริ
เทศกาลนี้จะมีการจัดขึ้นในวันที่ 3 มีนาคม เป็นประจำทุกปี ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยเอโดะ Edo (1603-1867) เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองของเด็กผู้หญิงในประเทศญี่ปุ่น โดยจะมีการตกแต่งตุ๊กตาญี่ปุ่น ที่สวยงามหลายตัวบนชั้นวาง ที่ตั้งอยู่ภายในบ้าน ตามความเชื่อที่ว่า จะทำให้ลูกสาวมีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุข บางครั้งเรียกเทศกาลนี้ว่า เทศกาลเด็กผู้หญิง (Girl's Festival) ชาวญี่ปุ่นรับเทศกาลนี้มาจากธรรมเนียมจีน ตามความเชื่อว่า จะสามารถขจัดเคราะห์ร้าย ให้ไปกับตุ๊กตาได้ โดยปล่อยตุ๊กตาลอยไปกับแม่น้ำ ส่วนในประเทศญี่ปุ่น จะถือว่าเป็นเทศกาลของการอธิษฐานให้ลูกสาวมีความสุข ขจัดพลังชั่วร้ายออกไปจากชีวิต ประสบความสำเร็จ สุขภาพร่างกายแข็งแรง และสวย
เด็กผู้หญิงที่เริ่มเข้าสู่เทศกาลฮินะครั้งแรก จะถูกเรียกว่า "ฮัตสุ เซกุ" (hatzu-zekku) โดยจะเป็นที่ชื่นชอบในหมู่ย่าหรือยาย เพราะพวกเธอจะซื้อตุ๊กตามาจัดโชว์ให้กับหลานสาว เริ่มนำตุ๊กตามาทำความสะอาดตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ จนกระทั่งเมื่อถึงวันที่ 3 มีนาคม ก็จะนำตุ๊กตาฮินะหรือ ฮินะนิงโย (hinaningyo) มาตั้งโชว์ ซึ่งเป็นตุ๊กตาที่ทำด้วยมือแบบดั้งเดิม วางไว้บนชั้นปกติจะมีทั้งหมด 7 ชั้น รอบๆ ชั้นจะประดับด้วยเครื่องบูชา เช่น ดอกพีช ข้าว เค้ก และเค้ก ที่ทำจากข้าวรูปร่างคล้ายเพชร ซึ่งเรียกว่าฮิชิโมกิ (hishimochi) รวมไปถึงสาเกขาว และคิราชิซูชิ (chirashi sushi) ตุ๊กตาที่ส่วนใหญ่จะต้องนำมาวางในชั้น คือ ตุ๊กตา เจ้าชายโอไดริ-ซามะ (Odairi-sama) และเจ้าหญิงโอฮินะ-ซามะ (Ohina-sama) ซึ่งตุ๊กตาทั้งสองตัวนี้ จะถูกวางไว้บนสุดของชั้นวาง รายล้อมไปด้วยข้าราชบริพาร และเครื่องตกแต่งชิ้นเล็กๆ โดยฉากหลังของชั้น จะประดับด้วยฉากที่เป็นสีทอง ให้เหมือนกับคฤหาสน์จำลอง
ว่ากันว่าจำนวนชั้นจะมากหรือน้อยนั้น ก็เป็นการแสดงถึงฐานะของแต่ละบ้าน ซึ่งระดับจะสูงสุดที่ประมาณ 7 ขั้น จำนวนตุ๊กตาและการตกแต่งจัดเครื่องแต่งกายให้กับตุ๊กตาก็เป็นการแสดงออกถึง ฐานะเช่นกัน โดยทั่วไปในหนึ่งเซทจะมีประมาณ 15 ตัว เป็นตุ๊กตาชาววังที่เริ่มตั้งแต่ จักรพรรดิ จักรพรรดินี เจ้าชาย เจ้าหญิง ผู้รับใช้ ฯลฯ ลดหลั่นกันลงมาตามลำดับ
ในยุคแรกๆ การตั้งตุ๊กตาเป็นประเพณีของผู้มีอันจะกิน หลักๆ จะเป็นตุ๊กตาเจ้าชายและเจ้าหญิง โดยในสมัยโบราณนั้นจะมีการจัดทำตุ๊กตาฮินะขึ้นจากวัสดุพวกไม้กระดาษที่ทำ ขึ้นมาอย่างง่ายๆ แล้วนำไปใส่กระด้งเล็กๆ ลอยแม่น้ำหรือทะเลเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ภาวนาให้ลูกสาวของบ้านนั้นเติบโตขึ้นโดยมีสุขภาพแข็งแรง หลังจากนั้นก็ได้รับความนิยมเรื่อยมาจนเกิดเป็นประเพณีของผู้คนทุกฐานะ และเริ่มตกแต่ง ประดับประดา จัดทำเครื่องแต่งกายให้สวยงามมากขึ้น ใช้วัสดุที่ดีอย่างผ้าไหมตัดเป็นเครื่องแต่งกายให้ตุ๊กตาในชุดกิโมโนเต็มยศ แบบโบราณ ซึ่งบางบ้านเป็นตุ๊กตาประจำตระกูลที่สืบทอดต่อๆ กันมาหลายร้อยปี มีการบูชาและถวายเครื่องเซ่นต่างๆ ทั้งขนมหวานที่ชื่อว่า " อาราเร่ " และขนมที่ทำมาจากข้าวเหนียว " คาชิวะ โมจิ " หรืออาจจะเป็นเค้กที่ทำจากข้าว พร้อมเครื่องดื่มพวกเหล้าขาวอย่าง " ชิโรสาเก " และบูชาด้วยดอกไม้อย่างดอกท้อ เทศกาลน่ารักๆ นี้ แต่ละครอบครัวที่มีลูกสาวจะเลี้ยงฉลองพิธีนี้อย่างตั้งใจ มีการดื่มฉลองแสดงความยินดีและอวยพรให้เติบโตอย่างมีความสุข และในปัจจุบันก็เปิดโอกาสให้มีการสังสรรค์กันในกลุ่มเพื่อนๆ เพิ่มขึ้น คืออาจจะชวนกันมาจัดปาร์ตี้กลางแจ้ง ทานอาหารร่วมกันที่บ้าน ซึ่งนับเป็นอีกเทศกาลหนึ่งที่สามารถสร้างรอยยิ้ม สร้างความสุข และสร้างความสัมพันธ์อันดีให้กับคนในครอบครัว
มีความเชื่อกันว่าถ้าบ้านไหนจัดบูชาตุ๊กตาในวันที่ 3 มีนาคมแล้วนั้น หากพ้นวันนี้ไปแล้วต้องรีบเก็บตุ๊กตาทันที เพราะหากประดับทิ้งไว้นานๆ จะทำให้ลูกสาวขึ้นคานได้ แต่ก็มีอีกความเชื่อหนึ่งที่กล่าวว่า จะตั้งตุ๊กตาฮินะประดับไว้จนถึงวันเด็กผู้ชายในวันที่ 5 พฤษภาคม เพื่อเป็นการฉลองต่อเนื่องกันไปเลย จากนั้นจึงค่อยเก็บให้เรียบร้อยเพื่อนำออกมาประดับในปีต่อๆไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)